วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2552

สักวันฉันจะดีพอ

อยากดีพอ ให้เธอได้มั่นใจ
แต่ที่พอมี ก็แค่ทั่วๆ ไป
ความจริงคือเธอยังลังเล
ยังไม่เทให้กันหมดหัวใจ
กังวลว่าเธอจะเจอใคร ที่รักเธอเหมือนกัน
ฉันก็เลยแค่ขอให้...เธอ

เธออย่าเพิ่งไปบอกรักใคร
รอฉันได้หรือไม่ วันที่ฉันจะดีพอ
อยากจะขอเวลาหน่อย มันคงไม่นานเกินไป

เธอเป็นคนดี ที่ใครก็ต้องการ
เธอเป็นคนเดียว ที่ใครก็เฝ้าฝัน
ยังไงก็ยังจะจริงจัง ก็ขอทำทุกทางสุดหัวใจ
ทำดีให้เท่าที่คิดไว้ อยากให้เราคู่กัน
ฉันก็เลยแค่ขอให้...เธอ

เธออย่าเพิ่งไปบอกรักใคร
รอฉันได้หรือไม่ วันที่ฉันจะดีพอ
อยากจะขอเวลาได้ไหม

เธอก็แค่อยากให้เรารักกัน
ฉันต้องทำให้ได้ คงมีสักวัน
แค่อย่าเผลอไปมีใคร ยังไงก็รอกันหน่อย

ยังไงก็ยังจะยืนยัน อยากให้เราได้คู่กัน ฉันก็เลยจะขอให้เธอ
(ให้เธอช่วยรอกันหน่อย ให้เธอช่วยรอฉันได้หรือเปล่า)

วันเสาร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ชีวิตที่กำลังจะเปลี่ยนแปลง



วันก่อนขึ้นไปเอาใบลาออกที่ฝ่ายบุคคล
ใจนึงก็รู้สึกเสียดายโอกาสในการทำงาน
เสียดายเพื่อนร่วมงานดี ๆ ที่หาได้ยากในองค์กรใหญ่
ได้เจอเจ้านายที่รักเรา เอ็นดูและเข้าใจ ซึ่งหาได้ยากยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด

ใจนึงก็คิดว่า...
นี่คือโอกาสที่ต้องก้าวไปข้างหน้า โอกาสดีที่ไขว่คว้ามาตลอดทั้งชีวิต
และนี่คือความฝัน ที่คิดไว้ว่า สักวันต้องทำให้ได้

จากวันแรกที่ก้าวเข้าไปใน ห้องบางกอก คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์
ได้เห็นผู้คนเป็นพัน ๆ คนมาจากทุกที่
แต่ความฝันของทุกคนคือการอยากเป็น "ผู้ประกาศข่าว"
นาทีนั้นรู้สึกขนลุก ตื่นเต้น พยายามเดินยืดอก แล้วบอกกับตัวเองว่า
"เราก็มีดีน่า อย่าไปกลัวใคร"
และเชื่อไหมว่า ตอนที่ทีมงานตรวจวันเดือนปีเกิดแล้วบอกกับเราว่า
"เกือบสมัครไม่ได้แล้วนะน้อง"
เราคิดถึงแม่ ถ้าแม่รีบมีเราเร็วกว่านั้น ที่ไม่ใช่ 31 ธันวาคม 2522
เราก็คงจะไม่ได้มายืน ณ จุด ๆ นี้

มีใครจะเชื่อเหมือนเราไหม...
โอกาสมักไม่เดินทางมาหา ถ้าเราไม่เดินไปไขว่คว้ามาเอง
แต่เราก็ไม่ค่อยจะแน่ใจว่า...
บางขณะ เราเดินไปหา...หรือโอกาสมาหาเราเองกันแน่
ยิ่งตอนที่รู้ว่า ได้เข้ารอบ 100 คน
ยิ่งทำให้ความเชื่อมั่น ขณะที่เดินยืดอก ณ ตอนนั้นมันเพิ่มขึ้นจากเดิม
และเมื่อผล 21 คนเข้ารอบสองออก
เช้านั้นเป็นเช้าที่เสียงโทรศัพท์มือถือ และโทรศัพท์ออฟฟิศดังไม่ขาดสาย
เพื่อนที่หายไปนาน หรือแม้แต่คนที่ไม่เคยคุยก็เดินมาแสดงความยินดีด้วย

ตอนนั้นสิ่งที่คิดได้ก็คือ...
"ต่อนี้ไปจะทำให้ดีที่สุด ไม่ว่าผลจะออกมายังไงก็ตาม"
จนกระทั่งตอนเย็นวันที่ 29 กันยายน ที่ผ่านมา
มีโทรศัพท์เบอร์ 02 จำได้ว่าเป็นเบอร์ของช่อง 7
ใจที่เต้นปกติก็กลับเป็นเต้นรัวอย่างบอกไม่ถูก
และเมื่อรู้ผลว่า เป็นหนึ่งในสิบคน ของผู้เข้ารอบสุดท้าย
เราไปนั่งนิ่ง อยู่กับตัวเองสักพัก แล้วบอกกับตัวเองว่า

"เราทำได้แล้วนะ กล้าหาญ
และต่อไปนี้จะไม่แค่ทำดีที่สุดแล้ว
จะต้องทำให้ดีกว่าที่สุดด้วย"

วันอาทิตย์สัปดาห์ที่ผ่านมา ตอนจัดรายการ "ทางสู่ฝัน"
อาจารย์ นริศ หมอดูหมากรุกจีน ได้ทำนายเราไว้ว่า
"เราจะมีชื่อเสียงต้องแลกกับการไม่มีเพื่อนคบ"
เราเชื่อว่าคนเรามีทางเลือก...
เลือกที่จะอยู่อย่างโดดเดี่ยวบนความมั่งมี
หรืออยู่บนความพอเพียงกับเพื่อนที่รู้ใจไม่กี่คนและไม่ต้องมีชื่อเสียงมากมาย

เราเลือกอย่างหลัง...ชีวิตที่พรั่งพร้อมจะมีประโยชน์อะไรหากไร้คนเคียงข้าง
คนที่จะเดินไปกับเรา ไม่ว่าจะยามสุข หรือยามทุกข์

ไปอ่านหนังเจอใน แม็กกาซีน a dayBULLETIN ISSUE 63, 2-8 OCTOBER 2009
เป็นบทความของ วิไลรัตน์ เอมเอี่ยม บกบห.
เค้าเขียนไว้ว่า

"ตอนนี้ผู้เขียนขอเลือกที่จะมีคนรู้จักน้อยกว่าคนรู้ใจ
เพราะคนรู้จักต่างกับคนรู้ใจตรงที่...
เราอาจต้องรักษาความสัมพันธ์กับคนรู้จักเอาไว้ด้วยการติดต่อสื่อสารอย่างสม่ำเสมอ
ไม่ให้ขาดหาย เพื่อรักษามารยาททางสังคมอะไรก็ตาม
แต่คนรู้ใจจริง ๆ จะรู้ว่าตอนไหนที่ควรจะคุย หรือตอนไหนที่ควรจะเงียบ
ตอนไหนที่ควรจะอยู่กับเรา และตอนไหนที่ควรปล่อยให้เราใช้ชีวิตส่วนตัว
โดยอยู่บนพื้นฐานของความห่วงใยและหวังดีกับเราเสมอ
ปัญหาคือ...ในท่ามกลางคนรู้จักมากมายนั้น เราเหลือคนรู้ใจอยู่สักกี่คน"

ขออนุญาตเอามาลงนะครับ อ่านแล้วรู้สึกว่าใช่เลย ต่อให้มีคนรู้จักเป็นร้อย ๆ คน
ก็ไม่สำคัญเท่ามีคนรู้ใจเพียงแค่คนเดียว

ตั้งใจไว้ว่าภายในเดือนนี้จะรีบกลับบ้านไปเยี่ยมพ่อกับแม่ที่บ้านสักสองสามวัน
ก่อนที่จะเริ่มงานที่ช่อง 7 สี กลัวว่าอาจจะไม่มีเวลาไปไหน
การเริ่มต้นทำงานใหม่ และเป็นงานที่ไขว่คว้าโอกาสนี้มาตลอดชีวิต
ปฏิเสธไม่ได้หรอกวาเราจะทุ่มเทมากแค่ไหน มากกว่าความทุ่มเท แต่ก็ไม่ลืมที่จะดูแลตัวเอง

ชีวิตที่กำลังจะเปลี่ยนอีกครั้ง
จะเข้มแข็ง อดทน และรับมือกับทุก ๆ เรื่อง
ไม่ว่าจะเจอกับเรื่องราวใด ๆ ก็ตาม
ขอบคุณทุกกำลังใจที่มีให้ ทั้งที่จับต้องได้ สัมผัสได้ และมองไม่เห็น
ทำให้ก้าวผ่านอุปสรรคและจะยืนอยู่ตรงจุดหมายได้อย่างไม่กลัวอะไร

วันนี้จะเดินยืดอก แล้วบอกกับตัวเองและทุกคนว่า
"ความฝัน อย่าปล่อยให้มันหลุดลอยไป เดินไปหาและรอโอกาสที่เหมาะ
คว้ามันมาไว้แล้วจะภูมิใจที่เราทำได้ครับ"