วันเสาร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ชีวิตที่กำลังจะเปลี่ยนแปลง



วันก่อนขึ้นไปเอาใบลาออกที่ฝ่ายบุคคล
ใจนึงก็รู้สึกเสียดายโอกาสในการทำงาน
เสียดายเพื่อนร่วมงานดี ๆ ที่หาได้ยากในองค์กรใหญ่
ได้เจอเจ้านายที่รักเรา เอ็นดูและเข้าใจ ซึ่งหาได้ยากยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด

ใจนึงก็คิดว่า...
นี่คือโอกาสที่ต้องก้าวไปข้างหน้า โอกาสดีที่ไขว่คว้ามาตลอดทั้งชีวิต
และนี่คือความฝัน ที่คิดไว้ว่า สักวันต้องทำให้ได้

จากวันแรกที่ก้าวเข้าไปใน ห้องบางกอก คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์
ได้เห็นผู้คนเป็นพัน ๆ คนมาจากทุกที่
แต่ความฝันของทุกคนคือการอยากเป็น "ผู้ประกาศข่าว"
นาทีนั้นรู้สึกขนลุก ตื่นเต้น พยายามเดินยืดอก แล้วบอกกับตัวเองว่า
"เราก็มีดีน่า อย่าไปกลัวใคร"
และเชื่อไหมว่า ตอนที่ทีมงานตรวจวันเดือนปีเกิดแล้วบอกกับเราว่า
"เกือบสมัครไม่ได้แล้วนะน้อง"
เราคิดถึงแม่ ถ้าแม่รีบมีเราเร็วกว่านั้น ที่ไม่ใช่ 31 ธันวาคม 2522
เราก็คงจะไม่ได้มายืน ณ จุด ๆ นี้

มีใครจะเชื่อเหมือนเราไหม...
โอกาสมักไม่เดินทางมาหา ถ้าเราไม่เดินไปไขว่คว้ามาเอง
แต่เราก็ไม่ค่อยจะแน่ใจว่า...
บางขณะ เราเดินไปหา...หรือโอกาสมาหาเราเองกันแน่
ยิ่งตอนที่รู้ว่า ได้เข้ารอบ 100 คน
ยิ่งทำให้ความเชื่อมั่น ขณะที่เดินยืดอก ณ ตอนนั้นมันเพิ่มขึ้นจากเดิม
และเมื่อผล 21 คนเข้ารอบสองออก
เช้านั้นเป็นเช้าที่เสียงโทรศัพท์มือถือ และโทรศัพท์ออฟฟิศดังไม่ขาดสาย
เพื่อนที่หายไปนาน หรือแม้แต่คนที่ไม่เคยคุยก็เดินมาแสดงความยินดีด้วย

ตอนนั้นสิ่งที่คิดได้ก็คือ...
"ต่อนี้ไปจะทำให้ดีที่สุด ไม่ว่าผลจะออกมายังไงก็ตาม"
จนกระทั่งตอนเย็นวันที่ 29 กันยายน ที่ผ่านมา
มีโทรศัพท์เบอร์ 02 จำได้ว่าเป็นเบอร์ของช่อง 7
ใจที่เต้นปกติก็กลับเป็นเต้นรัวอย่างบอกไม่ถูก
และเมื่อรู้ผลว่า เป็นหนึ่งในสิบคน ของผู้เข้ารอบสุดท้าย
เราไปนั่งนิ่ง อยู่กับตัวเองสักพัก แล้วบอกกับตัวเองว่า

"เราทำได้แล้วนะ กล้าหาญ
และต่อไปนี้จะไม่แค่ทำดีที่สุดแล้ว
จะต้องทำให้ดีกว่าที่สุดด้วย"

วันอาทิตย์สัปดาห์ที่ผ่านมา ตอนจัดรายการ "ทางสู่ฝัน"
อาจารย์ นริศ หมอดูหมากรุกจีน ได้ทำนายเราไว้ว่า
"เราจะมีชื่อเสียงต้องแลกกับการไม่มีเพื่อนคบ"
เราเชื่อว่าคนเรามีทางเลือก...
เลือกที่จะอยู่อย่างโดดเดี่ยวบนความมั่งมี
หรืออยู่บนความพอเพียงกับเพื่อนที่รู้ใจไม่กี่คนและไม่ต้องมีชื่อเสียงมากมาย

เราเลือกอย่างหลัง...ชีวิตที่พรั่งพร้อมจะมีประโยชน์อะไรหากไร้คนเคียงข้าง
คนที่จะเดินไปกับเรา ไม่ว่าจะยามสุข หรือยามทุกข์

ไปอ่านหนังเจอใน แม็กกาซีน a dayBULLETIN ISSUE 63, 2-8 OCTOBER 2009
เป็นบทความของ วิไลรัตน์ เอมเอี่ยม บกบห.
เค้าเขียนไว้ว่า

"ตอนนี้ผู้เขียนขอเลือกที่จะมีคนรู้จักน้อยกว่าคนรู้ใจ
เพราะคนรู้จักต่างกับคนรู้ใจตรงที่...
เราอาจต้องรักษาความสัมพันธ์กับคนรู้จักเอาไว้ด้วยการติดต่อสื่อสารอย่างสม่ำเสมอ
ไม่ให้ขาดหาย เพื่อรักษามารยาททางสังคมอะไรก็ตาม
แต่คนรู้ใจจริง ๆ จะรู้ว่าตอนไหนที่ควรจะคุย หรือตอนไหนที่ควรจะเงียบ
ตอนไหนที่ควรจะอยู่กับเรา และตอนไหนที่ควรปล่อยให้เราใช้ชีวิตส่วนตัว
โดยอยู่บนพื้นฐานของความห่วงใยและหวังดีกับเราเสมอ
ปัญหาคือ...ในท่ามกลางคนรู้จักมากมายนั้น เราเหลือคนรู้ใจอยู่สักกี่คน"

ขออนุญาตเอามาลงนะครับ อ่านแล้วรู้สึกว่าใช่เลย ต่อให้มีคนรู้จักเป็นร้อย ๆ คน
ก็ไม่สำคัญเท่ามีคนรู้ใจเพียงแค่คนเดียว

ตั้งใจไว้ว่าภายในเดือนนี้จะรีบกลับบ้านไปเยี่ยมพ่อกับแม่ที่บ้านสักสองสามวัน
ก่อนที่จะเริ่มงานที่ช่อง 7 สี กลัวว่าอาจจะไม่มีเวลาไปไหน
การเริ่มต้นทำงานใหม่ และเป็นงานที่ไขว่คว้าโอกาสนี้มาตลอดชีวิต
ปฏิเสธไม่ได้หรอกวาเราจะทุ่มเทมากแค่ไหน มากกว่าความทุ่มเท แต่ก็ไม่ลืมที่จะดูแลตัวเอง

ชีวิตที่กำลังจะเปลี่ยนอีกครั้ง
จะเข้มแข็ง อดทน และรับมือกับทุก ๆ เรื่อง
ไม่ว่าจะเจอกับเรื่องราวใด ๆ ก็ตาม
ขอบคุณทุกกำลังใจที่มีให้ ทั้งที่จับต้องได้ สัมผัสได้ และมองไม่เห็น
ทำให้ก้าวผ่านอุปสรรคและจะยืนอยู่ตรงจุดหมายได้อย่างไม่กลัวอะไร

วันนี้จะเดินยืดอก แล้วบอกกับตัวเองและทุกคนว่า
"ความฝัน อย่าปล่อยให้มันหลุดลอยไป เดินไปหาและรอโอกาสที่เหมาะ
คว้ามันมาไว้แล้วจะภูมิใจที่เราทำได้ครับ"

2 ความคิดเห็น:

  1. Congratulation with the primarily success.
    Quite glad to hear that your proud is you are.
    .
    .
    .

    ตอบลบ
  2. ทำงานที่ช่อง 7 แล้ว อย่าลืมมาอัพบล๊อคดีๆแบบนี้อีกนะครับ จะรอชมผลงานของนักข่าวคนใหม่

    ตอบลบ